.
สำหรับใครที่อาจจะมีวันหยุด วันลาไม่มาก แต่ก็อยากจะเที่ยวฮอกไกโดฟิน ๆ แบบครบถ้วนในราคาประหยัด ครบจบในพาสเดียว วันนี้พวกเราขอเสนอแพลนเที่ยวแบบ 5 วัน 4 คืน กับ JR Noboribetsu Pass ที่สามารถนั่งรถไฟ JR Hokkaido ในพื้นที่ของโอตารุ/ซัปโปโร/สนามบินชินชิโตะเสะ/โทมาโคไม/โนโบริเบทสึ ได้ไม่อั้นในระยะเวลา 4 วัน ด้วยราคาเพียง 8,000 เยน* เท่านั้น คุ้มมาก!
นอกจากนี้ ผู้ที่ซื้อ JR Noboribetsu Pass ก็จะได้รับของขวัญพิเศษคือโปสการ์ด และหากทำการแชร์รูปของโปสการ์ดลงในโซเชียลมีเดียพร้อมติดแฮชแท็ก # ตามที่กำหนด ก็จะได้รับของที่ระลึกพิเศษจาก JR Hokkaido และบัตรเข้าจุดชมวิวบนชั้น 38 ของตึก JR Tower (JR Tower T38) พร้อมกับคูปองเค้กและเครื่องดื่ม รวมมูลค่ากว่า 1,700 เยนอีกด้วย (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับพาสได้ที่ https://www.jrhokkaido.co.jp/global/english/ticket/railpass/index.html#noboribetsu)
* ราคานี้เป็นราคาที่ซื้อนอกญี่ปุ่น หากซื้อในญี่ปุ่นจะอยู่ที่ราคา 8,500 เยน
รายละเอียดทริปจะเป็นอย่างไร ค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไหร่ และการใช้พาสจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ขนาดไหน เราสรุปรวมไว้ในบทความนี้เรียบร้อยแล้วครับ ไปดูกันเลย
.
โปรแกรมคร่าว ๆ
วันที่ 1: สนามบิน – ซัปโปโร (ค้างคืนที่ซัปโปโร)
วันที่้ 2: วันเดย์ทริป โนโบริเบทสึ – อุโปะโปย (ค้างคืนที่ซัปโปโร)
วันที่ 3: ซัปโปโร-โอตารุ (ค้างคืนที่ซัปโปโร)
วันที่ 4: เที่ยวในซัปโปโร (ค้างคืนใกล้สนามบิน)
วันที่ 5: กลับไทย
.
.
วันที่ 1
สนามบิน – ซัปโปโร
เช้า – ลงเครื่องบิน ทำธุระส่วนตัวและเติมพลังภายในสนามบิน แล้วเข้าเมืองซัปโปโร
ปีนี้มี ไฟลท์บินตรงจากกรุงเทพฯ มาซัปโปโรของการบินไทยและแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ได้กลับมาบินอีกครั้ง โดยไฟลท์ของการบินไทยจะมาถึงในช่วงเช้า ส่วนแอร์เอเชีย เอ็กซ์ จะมาถึงในช่วงสาย-เที่ยง เมื่อมาถึงก็สามารถทานอะไรรองท้องในสนามบินได้ในบริเวณอาคารผู้โดยสารในประเทศก่อนที่จะไปนั่งรถไฟ หรือหากอยากทำเวลาก็ไปรอรถไฟได้เลย รถไฟ JR Rapid Airport มีวิ่งออกจากสนามบินชินชิโตะเสะทุก ๆ 12-15 นาที ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเข้ามาถึงในเมืองซัปโปโร
.
บ่าย – เติมพลังด้วยของอร่อยในซัปโปโร เดินเที่ยวเล็กน้อยก่อนเช็คอิน
หากมีเวลาก่อนจะถึงเวลาเช็คอินโรงแรม ก็สามารถเดินเที่ยวและทานอาหารอร่อย ๆ ในบริเวณสถานี JR Sapporo ได้ ซึ่งตรงนี้ก็จะมีทั้งตรอกราเมง และร้านซูชิ Shikisaitei บนชั้น 10 ห้าง ESTA, ร้านซูชิ Nemuro Hanamaru และร้านข้าวหน้าหมูย่าง Ippin ชั้น 6 ห้าง Stellar Place และอื่น ๆ อีกมากมายให้ได้เลือกทาน นอกจากนี้รอบ ๆ สถานีก็มีห้างสรรพสินค้าหลากหลายให้ได้เลือกช็อปกัน หรือจะเข้าไปนั่งคาเฟ่ ทานของหวานชิล ๆ ก็ได้เช่นกัน
.
เย็น – ดื่มด่ำบรรยากาศซัปโปโรยามค่ำบนจุดชมวิว T38 และย่านซูซูกิโนะ
หากโพสต์รูปลงในโซเชียลมีเดียตามข้อกำหนดของ JR Noboribetsu Pass แล้ว เราจะได้รับบัตรขึ้นไปชมวิว T38 ที่ตึก JR Tower Sapporo Station พร้อมกับคูปองเค้กและเครื่องดื่ม ก็สามารถขึ้นไปดูวิวสวย ๆ ของบริเวณสถานีซัปโปโรที่ชั้น 38 ได้เลย ทางเข้าอยู่ที่ชั้น 6 ของห้าง Stellar Place ฝั่งข้าง ๆ ร้านมูจิ
.
จากนั้นลงมาใช้ทางเดินใต้ดิน (Sapporo Eki-mae Dori underground walkway / จิคะโฮะ) เดินยาว ๆ จากสถานีซัปโปโร ผ่านโอโดริ และไปสิ้นสุดที่ซูซูกิโนะ ระหว่างทางก็มีร้านให้ช็อปมากมาย (แต่ระวัง! ร้านในทางเดินใต้ดินส่วนใหญ่เปิดถึงแค่ 20.00 น. เท่านั้นนะ) ที่ซูซูกิโนะก็มีทั้งร้านอาหาร ร้านขายของฝากที่เปิดถึงดึก หรือใครสายราเมงก็ไปตะลุยกินราเมงแสนอร่อยที่ตรอกราเมงได้เลย
.
วันที่ 2
วันเดย์ทริป โนโบริเบทสึ – อุโปะโปย
ภาพจาก ainu-upopoy.jp
.
เช้า – ชมวัฒนธรรมชาวไอนุที่ UPOPOY แล้วไปทักทายหมีสีน้ำตาลฮอกไกโดที่สวนหมีโนโบริเบทสึ
ออกจากซัปโปโรตั้งแต่เช้าด้วยรถไฟ Limited Express ไปลงที่ JR Shiraoi แล้วเดินต่อเล็กน้อยเพื่อเข้าไปที่พิพิธภัณฑ์และสวนไอนุแห่งชาติ (UPOPOY – อุโปะโปย) ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อไม่นานมานี้ ที่อุโปะโปยมีทั้งนิทรรศการและวัฒนธรรมเกี่ยวกับชาวไอนุ ชนพื้นเมืองของญี่ปุ่น ซึ่งที่นี่ถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีความสำคัญมาก ๆ แห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้
.
จากนั้นนั่งรถไฟขบวน Limited Express ไปลงสถานี JR Noboribetsu ใช้เวลาไม่เกิน 15 นาทีก็ถึง ต่อรถบัสจากสถานีรถไฟ ไปลงสุดสายที่ป้าย Noboribetsu Onsen เพื่อเข้ามาที่เมืองออนเซ็นโนโบริเบทสึ หนึ่งในแหล่งน้ำพุร้อนชื่อดังที่สุดของฮอกไกโด
.
เมื่อมาถึงแล้ว เดินจากป้ายรถบัสไปเล็กน้อยก็จะถึงทางเข้าสวนหมีโนโบริเบทสึ (Noboribetsu Bear Park) มีค่าเข้าชม (รวมโรปเวย์) คนละ 2,650 เยน ซื้อบัตรล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ได้ด้วย สวนนี้อยู่ด้านบนภูเขา ด้านในมีหมีหลายสิบตัว เราสามารถให้อาหารและชมโชว์จากหมีในสวนได้ตามรอบการแสดง บางครั้งถ้าไปช่วงกลางปี ทางสวนจะนำลูกหมีที่เพิ่งเกิดในตอนต้นปีนั้นมาอยู่ในโซนลูกหมีที่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปยืนดูได้ น่ารักน่าเอ็นดูมากทีเดียว
.
จากในสวนสามารถมองเห็นทะเลสาบคุตตะระ (Lake Kuttara) ได้ ทะเลสาบคุตตะระนั้นเป็นทะเลสาบที่น้ำใสที่สุดอันดับ 2 และเป็นทะเลสาบที่รูปร่างกลมที่สุดในญี่ปุ่น นอกจากนี้ทางสวนมีรถ shuttle bus บริการรับ-ส่งฟรีในพื้นที่รอบ ๆ ด้วย (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bearpark.jp/en/)
.
บ่าย – เดินเที่ยวจิโกกุดานิ (หุบเขานรก) แล้วลงมาแช่ออนเซ็น
ลงมาทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารในเมืองให้อิ่มท้อง แล้วก็พลาดไม่ได้กับหุบเขานรก (จิโกกุดานิ) แหล่งความร้อนใต้พิภพ จุดกำเนิดน้ำพุร้อน สามารถเดินตามเส้นทางเพื่อชมธรรมชาติรอบ ๆ ได้ โดยเส้นทางเดินลูปใหญ่ที่ไปถึงบ่อน้ำร้อน “โอยุนุมะ” ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งในเส้นทางนี้จะผ่านจุดที่ไปนั่งแช่เท้าในน้ำร้อนได้ด้วย บอกเลยว่าเริ่ดมาก เมื่อออกมาจากจิโกกุดานิแล้วก็เข้ามาเดินเที่ยวในเมือง และรอชมน้ำพุร้อนที่พวยพุ่งในบ่อกลางเมืองได้
.
หลังจากที่เดินมาเหนื่อย ๆ ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะไปพักผ่อนหย่อนใจด้วยการแช่ออนเซ็นให้ฟินลืมกันไปเลย ในโนโบริเบทสึออนเซ็นก็มีโรงแรม-เรียวกังต่าง ๆ หลายแห่ง อย่างเช่นโรงแรมไดอิจิ ทากิโมโตคัง ซึ่งหลาย ๆ ที่ก็เปิดให้เข้าไปแช่ออนเซ็นในระหว่างวันแบบไม่เข้าพักได้ หรือถ้าใครแบกกระเป๋าไปมาไหว ก็มานอนค้างคืนที่โนโบริเบทสึเพื่อแช่ออนเซ็นให้จุใจก็ได้เช่นกัน หากต้องการจะเดินทางกลับซัปโปโร อย่าลืมเช็คตารางรถบัสให้ดี ๆ เที่ยวสุดท้ายประมาณสองทุ่มครึ่ง พลาดแล้วพลาดยาวเลยนะ
รายละเอียดเพิ่มเติ่มเกี่ยวกับโนโบริเบทสึ: https://trippinotest-2023.sakuraweb.com/blog/4-spots-noboribetsu
.
.
วันที่ 3
ซัปโปโร-โอตารุ
เช้า – แวะทานมื้อเช้าที่ตลาดปลานิโจ
ที่ตลาดปลานิโจ ใกล้ ๆ กับถนนคนเดินทะนุกิโคะจิและทีวีทาวเวอร์ เป็นตลาดที่มีอาหารทะเลสด ๆ และของฝากอื่น ๆ ราคาไม่แพง วางขายอยู่เยอะมาก ๆ ด้านในตลาดก็มีร้านไคเซนด้ง (ข้าวหน้าปลาดิบ) ที่อร่อยและราคาไม่แพง สามารถทานเป็นมื้อเช้าก่อนออกเดินทางไปโอตารุในช่วงสาย ๆ ได้เลย
โอตารุ – พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี ถนนซะไกมะจิ คลองโอตารุ โอตารุอะควาเรียม
ออกเดินทางจาก JR Sapporo ในช่วงสายด้วยรถไฟขบวน Rapid Airport ไปลงที่ JR Otaru-chikko (สถานีก่อนจะถึง JR Otaru) ใช้เวลาประมาณ 40 นาที หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าถ้าต้องการไปเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ แล้วลงรถไฟที่สถานี JR Otaru-chikko จะเดินใกล้กว่า และจากพิพิธภัณฑ์ก็เดินเที่ยว-แวะร้านซูชิอร่อย ๆ บนถนนซะไกมะจิเพื่อไปที่คลองโอตารุได้ ไม่ต้องเดินย้อนไปย้อนมา
หากมีเวลาเหลือในช่วงบ่าย สามารถเดินไปขึ้นบัสที่ด้านหน้าสถานี JR Otaru เพื่อไปที่โอตารุอะควาเรียมได้ นอกจากสัตว์ทะเลมากมายด้านในอะควาเรียมแล้ว ในฤดูหนาวก็ยังมีพาเหรดเพนกวินสุดน่ารักอีกด้วย โดยที่เพนกวินของที่นี่เป็นคนละสายพันธุ์กับที่สวนสัตว์อาซาฮิยามะ เสร็จแล้วก็กลับมาทานข้าวในบริเวณใกล้ ๆ สถานี JR Otaru เป็นมื้อเย็น หรือกลับไปทานที่ในเมืองซัปโปโรก็ได้
แนะนำเพิ่มเติมว่าหากมาเที่ยวในช่วงฤดูหนาว สามารถเลือกวันที่มีงานเทศกาลหรืองานประดับไฟที่คลองโอตารุ เพื่อดื่มด่ำบรรยากาศสุดโรแมนติกในตอนกลางคืน แล้วค้างคืนที่โอตารุก็ได้ หรือถ้ากลับมาซัปโปโรแล้วเวลาเหลือ ช่วงค่ำไปเดินเล่นที่ย่านซูซูกิโนะและถนนคนเดินทะนุกิโคะจิก็ได้เช่นกันครับ
.
วันที่ 4
ซัปโปโร
เช้า – ซื้อตั๋ววันรถไฟใต้ดิน ไปศาลเจ้าฮอกไกโดและสวนมารุยามะ
.
ในวันนี้ซื้อตั๋ววันเพื่อนั่งรถไฟใต้ดินในเมืองซัปโปโรแบบไม่จำกัดเที่ยว นั่งรถไฟใต้ดินสายโทไซ (สีส้ม) ลงที่สถานี Maruyama Koen เดินต่อประมาณ 5 นาทีก็จะถึงสวนมารุยามะ ซึ่งเมื่อเดินต่อเข้าไปด้านในก็จะเป็นพื้นที่ของศาลเจ้าฮอกไกโด (Hokkaido Jingu) แวะไหว้ขอพร ซื้อเครื่องราง แล้วถ้าคิวไม่ยาวก็แวะทาน Hangansama ขนมโมจิย่างไส้ถั่วแดงที่มีขายแค่ที่ร้าน Rokkatei ข้างศาลเจ้าเท่านั้น
หากมีเวลา ก็เข้าไปเดินเที่ยวในสวนสัตว์มารุยามะด้วยก็ได้ ค่าเข้าคนละ 600 เยน ด้านในมีโซนจัดแสดงหมีขาวและแมวน้ำ แล้วก็มีดาวเด่นอย่างเจ้าแพนด้าแดงแสนน่ารัก
หรือถ้าอยากลองอาหารท้องถิ่น จะเดินออกมาทานมื้อกลางวันที่ร้านซุปคาเร Picante สาขามารุยามะก็ได้ (ร้านหลักอยู่ใกล้ ม.ฮอกไกโด และปกติแล้วคิวยาวมาก) ซุปคาเรเป็นอาหารท้องถิ่นของฮอกไกโด และร้าน Picante นี้ก็เป็นร้านที่มีชื่อเสียงมาก ๆ ในซัปโปโร
.
.
บ่าย – ไปโรงงานช็อคโกแลต ขึ้นโรปเวย์ไปชมวิวที่ Mt. Moiwa
หลังจากอิ่มใจและอิ่มท้องแล้ว ก็นั่งรถไฟใต้ดินต่อไปยังสถานี Miyanosawa เพื่อไปที่โรงงานช็อคโกแลต Shiroi Koibito สถานที่ผลิตคุกกี้ชื่อดังที่แทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก ตอนนี้ค่าเข้าชมโรงงานอยู่ที่คนละ 800 เยน และด้านบนสุดของโรงงานก็มีคาเฟ่ที่ขนมและซอฟท์ครีมอร่อยแบบแสงออกปากเลยทีเดียว
ใช้เวลาอยู่ที่โรงงานช็อคโกแลตไม่เกิน 2 ชั่วโมง แล้วก็นั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Odori เดินต่อมาอีกนิดเพื่อขึ้นรถรางไปลงสถานี Ropeway Iriguchi แล้วต่อ shuttle bus ไปที่สถานีโรปเวย์ขึ้นเขาโมอิวะ สามารถขึ้นไปชมวิวเมืองซัปโปโร มีค่าบริการโรปเวย์และเคเบิลคาร์ ไป-กลับ 1,700 เยน
* บางคนอาจจะไม่ได้สังเกต แต่บนรถรางบางครั้งก็มีคูปองลดราคาค่าบริการโรปเวย์ จาก 1,700 เยน เหลือ 1,500 เยนวางอยู่ด้วย ใครเจอหยิบติดมือมาแล้วเอาไปให้ที่เคาเตอร์ขายตั๋วได้เลย
.
เย็น – เดินเล่น ช็อปปิ้งในเมือง บุฟเฟ่ต์ปู อาหารทะเล หรือเนื้อย่าง
.
กลับเข้ามาในใจกลางเมืองแล้ว เหล่าขาช็อปก็ตะลุยช็อปกันให้กระจายที่ห้างสรรพสินค้าในเมืองได้เลย ในส่วนของมื้อเย็น มาซัปโปโรก็ต้องบุฟเฟ่ต์ปูและอาหารทะเล หรือใครอยากจะลองบุฟเฟ่ต์ตระกูลเนื้อ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อแกะย่างเจงกิสข่าน เนื้อวากิว ชาบูชาบู-สุกี้ยากี้ ในเมืองก็มีร้านให้เลือกมากมาย กินให้พุงกางกันไปเลย!
.
ส่วนช่วงค่ำหลังจากกินและช็อปจนจุใจ ก็นั่งรถไฟขบวน Rapid Airport ไปที่สนามบินชินชิโตะเสะ เช็คอินเข้าโรงแรมในสนามบินเตรียมตัวกลับไทยในตอนเช้าได้เลยครับ
แต่สำหรับใครที่มาเที่ยวในช่วงฤดูหนาวแล้วอยากโฟกัสไปกับการเล่นสกี-สโนว์บอร์ด ก็สามารถไปเล่นสกีที่ลานสกีในบริเวณเมืองได้ ลานที่คนนิยมไปกัน เช่น Fu’s, Sapporo Teine, Sapporo Kokusai, Sapporo Moiwayama แม้จะอยู่ใกล้เมืองใหญ่แต่คุณภาพหิมะไม่เป็นสองรองใครเลย หลาย ๆ ลาน ค่าเช่าอุปกรณ์และค่าลิฟท์ก็ไม่แพงมากด้วย โดยปกติแล้วค่าลิฟท์ ค่าเช่าชุดและอุปกรณ์รวมทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 11,000-14,000 เยนต่อวันต่อคน
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sapporo.travel/en/spot/feature/ski_resorts/
.
.
ไฟลท์ขากลับไทยของการบินไทยออกเดินทางเวลา 10.00 น. ส่วนของแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ออกเดินทางเวลา 11.55 น. สำหรับไฟลท์วันอังคารและเสาร์ 12.55 น. สำหรับไฟลท์วันพฤหัสบดี โดยอาจจะต้องเผื่อเวลาเช็คอินที่สนามบินด้วย ที่สนามบินชินชิโตะเสะ มีศูนย์อาหารอยู่ที่อาคารผู้โดยสารในประเทศ ชั้น 3 ที่สามารถชมเครื่องบินบนรันเวย์ได้ด้วย หรือถ้าเดินไปฝั่งทางเชื่อมไปอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ก็มีทั้ง Royce’ Chocolate World, HELLO KITTY Happy Flight Shop/Cafe, DORAEMON WAKU WAKU Sky Park ที่สามารถไปเดินเล่นและแวะซื้อของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ หรือฝั่งอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศในโซนที่เปิดใหม่ก็มี SORA DONKI ซึ่งเป็นร้านดองกี้ขนาดย่อมให้บริการอยู่ด้านหน้าเคาเตอร์เช็คอินครับ
.
.
ในส่วนของค่าเดินทางด้วยรถไฟ JR ทั้งหมด หากไม่มี JR Noboribetsu Pass ตกอยู่ที่คนละประมาณ 12,000 เยน แต่หากใช้พาสราคา 8,000 เยน จะประหยัดไปได้ถึง 4,000 เยน หรือกว่า 1,000 บาทเลยทีเดียว!
.
.
.
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด (คร่าวๆ)
- ตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ 25,000 บาท
- JR Noboribetsu Pass 8,000 เยน (≈2,030 บาท)
- โรงแรม คืนละ 3,000 บาท x 4 คืน = 12,000 บาท
- ค่าอาหารเฉลี่ยมื้อละ 1,500 เยน x 12 มื้อ = 15,000 เยน (4,550 บาท)
- ค่าเดินทางในเมืองซัปโปโร ตั๋ววัน (เสาร์-อาทิตย์) 520 เยน + รถราง 400 เยน = 920 เยน (250 บาท) **หากซื้อตั๋ววันในวันธรรมดาจะอยู่ที่ 830 เยน
เรท 100 เยน 25.44 บาท (เรทอาจต่างกันในแต่ละวัน อย่าลืมเช็คค่าเงินก่อนนะครับ)
รวมแล้วค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 43,830 บาท ไม่รวมค่าเข้าสถานที่ต่าง ๆ ครับ
.
.
Discover Cool Things!
Trippino HOKKAIDO